รูปจากอินเตอร์เนท
ไขมันอิ่มตัวกับไม่อิ่มตัว
นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งชนิดของไขมันได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ไขมันอิ่มตัว กับ ไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัว ได้จากสัตว์ ไขมันชนิดนี้มักจะอยู่ในเนื้อสัตว์หรือหนังสัตว์ น้ำมันหมู ไข่แดง สัตว์ปีก ผลิตภัณฑ์จากนม และน้ำมันบางชนิดที่ได้จากพืชด้วย เช่น กรดไขมัน พาลมิติก ที่มีมากในน้ำมันปาล์ม และ น้ำมันมะพร้าว
ไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันไม่อิ่มตัวแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ไขมันไม่อิ่มตัว เชิงซ้อน (หลายตำแหน่ง) ได้จากพืช
2. ไขมันไม่อิ่มตัว เชิงเดี่ยว (ตำแหน่งเดียว)ได้จากพืช และสัตว์น้ำ
ในไขมันไม่อิ่มตัวทั้ง 2 ประเภทนั้นเราพบว่า ไขมันที่ได้มักจะมีผสมกันทั้ง 2 ประเภท ในอัตราส่วนที่ ต่างกัน อาจจะมากบ้างน้อยบ้างในน้ำมันแต่ละชนิด เช่น ในน้ำมันถั่วเหลืองมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนมากกว่าเชิงเดี่่ยว ขณะที่น้ำมันมะกอกและผลเปลือกแข็งและเมล็ดเช่นงา มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากกว่าเชิงซ้อนเป็นต้น
สรุปเรื่องไขมัน
1. ไขมันทรานส์ (เช่นเค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบ ครีมเทียม เนยเทียม) และไขมันอิ่มตัว (เช่นไขมันสัตว์อย่างหมู วัว น้ำมันปาล์ม) ทำให้เป็นโรคมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยง (เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน หัวใจ ฯลฯ)
2. ไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยป้องกันโรคได้ (เช่นน้ำมันพืชตามธรรมชาติยกเว้นพืชสกุลปาลม์) จึงควรบริโภคแทนไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว
3. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (เช่นน้ำมันมะกอก) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (เช่นน้ำมันถั่วเหลือง) มีอยู่ด้วยกันในอาหารธรรมชาติและดีทั้งคู่ ควรบริโภคควบกันไป ไม่มีข้อมูลสรุปได้เด็ดขาดว่าอะไรดีกว่าอะไร
4. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเช่นน้ำมันมะกอกทนความร้อนได้ดีกว่าไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน จึงเหมาะแก่การใช้ปรุงอาหารด้วยความร้อนเช่นการผัดหรือทอดมากกว่า
5. สำหรับคนเป็นเบาหวานที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเพิ่ม HDL ได้ อาจจะเอื้อต่อการรักษาโรคเบาหวานได้ดีกว่าแหล่งพลังงานอื่นเช่นคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
่k-man
No comments:
Post a Comment